แบกเลนส์ สะพายกล้อง ตะลุยญี่ปุ่นกว่า 30 ทริปสไตล์ รุจ ศุภรุจ

รุจ ศุภรุจ เตชะตานนท์หรือ รุจ เดอะสตาร์ เห็นว่าทำงานเพลงอยู่ดีๆ ห๊ะ กระโดดมาเป็นช่างภาพตระเวนถ่ายฟูจิซังที่ญี่ปุ่นซะงั้น แถมตั้งเพจเฟสบุ๊คชื่อ Outside The Room ลงภาพถ่ายที่ไปญี่ปุ่นตลอด 3-4 ปีมานี้แบบรัวๆ ภารกิจเที่ยวญี่ปุ่นสุดโหดของเขาที่เล่าให้วอม เจแปนฟัง มันไม่เห็นจะเหมือนภาพรุจหล่อๆ ละมุนๆ ที่เห็นในบทบาทนักร้องเลยหนิ และแอบได้ยินมาอีกว่าจะมีโปรเจคเป็น Youtuber พาเที่ยวญี่ปุ่น โอ้ย! เกริ่นมาซะขนาดนี้ ตามไปอ่านชีวิตรุจที่ญี่ปุ่นกันดีกว่า

อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มถ่ายภาพที่ญี่ปุ่น ʕ•ᴥ•ʔ

   จริงๆ ตอนเด็กผมไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปนะ เพราะสมัยก่อนใช้กล้องฟิล์ม ตอนนั้นเวลาถ่ายสาวๆ ที่เราชอบและต้องเอาไปล้าง ที่ร้านเขาก็รู้หมดเลยว่าเราไปแอบถ่ายรูปผู้หญิงมา แต่เราก็เป็นคนประเภทที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราทำอะไรเราเลยไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย จนกระทั่งมาซื้อกล้องอีกตัวหนึ่งช่วงที่เริ่มเล่นกล้องเมื่อประมาณสัก 4 ปีที่แล้ว

   มันมีจุดเปลี่ยนคือเราได้ไปเป็นพิธีกรในรายการ เฮโหลวันหยุด ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ได้รับเชิญไปในฐานะฑูตมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น ส่งกำลังใจให้กับคนญี่ปุ่นช่วงแผ่นดินไหว และเป็นเทปที่ทางรายการต้องการศิลปินคนหนึ่งในแกรมมี่ไปเป็นพิธีกรพอดี ก็เลยมาชวนเรา แต่เรายังมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไป เพราะกลัวการไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย แต่สุดท้ายก็ตกลงไป นี่จึงกลายเป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกที่เทศกาลหิมะ ฮอกไกโดปี 2013 (ซัปโปโร สโนว์ เฟสติวัล 2013 ครั้งที่ 64)

   พอไปถึงก็ประทับใจหลายอย่างเลยอยากเก็บโมเมนท์นั้นเป็นภาพ แต่กล้องมือถือสมัยนั้นยังมีเทคโนโลยีจำกัดเช่น ตอนขึ้นไปถ่ายรูปบนซัปโปโร ทาวเวอร์ เห็นวิวกลางคืนสวยๆ เราก็ถ่ายรูปส่งให้แม่ดู ปรากฏว่าแม่บอก “ถ่ายวิญญาณมาเหรอลูก” เห็นไฟเป็นดวงๆ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าเราควรจะมีกล้อง และเริ่มศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกล้องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

   หลังจากกลับมาจากทริปนั้นเราก็เริ่มประทับใจญี่ปุ่น และอีก 2 เดือนต่อมาก็มีพี่อีกคนที่เขาจัดกรุ๊ปทัวร์ไปชมซากุระที่ญี่ปุ่นเดือนเมษายน ก็เลยตกลง และพาแม่ไปด้วย กลายเป็นทริปแรกที่ตกลงใจซื้อกล้องก่อนไป 2 วัน แต่ด้วยความที่เราไม่เคยใช้กล้อง DSLR มาก่อน พอจ่ายเงินเสร็จคนขายก็ถามว่า “แล้วมีเลนส์หรือยัง” สุดท้ายตอนนั้นจ่ายทั้งเลนส์และกล้องรวมกัน 99,600 บาท!

   เป็นเพราะเราซื้อกล้องมาเกือบแสน มันเลยเป็นแรงกดดันให้เราต้องใช้ให้เป็น เราก็เริ่มศึกษาด้วยตัวเองจากกูเกิ้ล กับยูทูป

   และในปีนั้นก็ไปอีกรอบเดือนพฤศจิกายนกับทัวร์ พอปี 2014 เราก็เริ่มจัดทริปเที่ยวเอง แล้วก็เลิกไปกับทัวร์เลยอีก 5 ทริป ปี 2015 ไป 7-8 ครั้ง และปี 2016 อีก 15 ทริป

   หลังๆ สไตล์การเที่ยวก็เปลี่ยนไป จากเป็นนักท่องเที่ยวเราก็ไปเน้นการถ่ายรูป

เวลาไปญี่ปุ่น ไปกับใคร ʕ•ᴥ•ʔ

   ครั้งที่ไปเที่ยวด้วยตัวเองครั้งแรกคือไปกับเพื่อน 4 คน เพราะไปเห็นภาพชิราคาวาโกะมีไลท์อัพแล้วรู้สึกว่า “มันมีที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ” และช่วงนั้นเราก็ศึกษาถ่ายภาพจนเริ่มคล่องแล้ว ก็เลยเริ่มอยากได้ภาพแบบนี้บ้าง

   สมัยนั้นกระทู้พันทิปที่เขียนรีวิวชิราคาวะโกะมีแค่กระทู้เดียวเลย เราก็ไปศึกษาอ่านและเอามาทำเป็น Excel ซี่งตารางเวลามันจะไม่มีความยืดหยุ่น หลังจากที่กลับมา ทริปนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนรีวิวในพันทิปแล้วปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมาก ก็เลยเริ่มสนุก

   ผ่านไปประมาณ 2 เดือนเข้าช่วงเมษายน ก็มีความมั่นใจว่าจะลองไปคนเดียวดู 13 วัน 13 เมือง ครั้งนี้เราทำตารางการเดินทางให้ยืดหยุ่นคือ ถ้าวันนี้อากาศดีจะไปที่นี่เป็นอันดับ 1-3 เลยเป็นทริปแรกที่เรารู้สึกว่าเที่ยวญี่ปุ่นมันไม่ยากมาก ก็เลยมีทริปต่อๆ มาอีกยาว

   มีอีกคนที่ไปด้วยกันบ่อยชื่อ ตี๋ อยู่ขอนแก่น คนนี้เป็นช่างภาพถ่าย Portrait นั่นก็เลยเป็นที่มาของหนังสือเล่มแรกที่มีรูปเราเยอะมาก เพราะมีเขาถ่ายให้ ทุกวันนี้ก็ยังไปด้วยกันบ่อยมาก

   จริงๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ไปสนิทกับใครเท่าไหร่เพราะจากครั้งแรกที่ไปเที่ยวเองกับเพื่อนมันเกิดปัญหาขึ้นเยอะ เป็นเพราะสไตล์การเที่ยวไม่เหมือนกัน แต่พอหนังสือเล่มแรกตีพิมพ์ออกมา สังคมคนถ่ายภาพมันก็เริ่มขยายกว้างขึ้น เราก็เริ่มรู้จักบล็อกเกอร์ เริ่มรู้จักช่างภาพ สนิทกับคนนั้นคนนี้มากขึ้น มันเป็นพรหมลิขิต

   “โอ” เป็นคนแรกๆ ที่ทำให้ผมได้เปิดมุมมองถ่ายภาพ “หูว มุมอย่างนี้มันมีด้วยเหรอวะ” จากการอ่านรีวิวพันทิปเรื่องสถานที่ถ่ายรูปฟูจิ ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เมืองมิชิมะ จังหวัดชิสึโอกะ ซึ่งจะเป็นเมืองที่เห็นฟูจิอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับด้านคาวากุจิโกะ พออ่านกระทู้เรื่อยๆ เราก็เลยเป็นแฟนคลับเขาไปเลย และไปตามรอยฟูจิเกือบทุกมุมที่โอไปมา ทั้งปีนขึ้นเขาก็ไปมาหมด ตามจนกระทั่งสุดท้ายได้มารู้จักกัน กลายเป็นว่าพอผมไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่ก็จะบอกเขา เจอกันหน้าเซเว่นที่เดิมหน้าที่พักเขา และเราดันมาอายุเท่ากันพอดีอีก

   ตอนนี้ก็มีกลุ่มช่างภาพที่สนิทกันชื่อ ตากล้องวัยใส คือจะเป็นน้องๆ กับพี่ๆ ที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น 8 คน แต่หลายคนก็กลับมาทำงานอยู่ที่เมืองไทยแล้ว อย่าง โอ พี่เบิร์ด-มหาลาภ  ปุ๊ ก็เหลืออีก 4 คนที่ยังอยู่ญี่ปุ่นคือ วีน น๊อต พูม  กัน แต่เราก็ยังหาทริปไปเที่ยวกันอีกอยู่ดี มันเหมือนคนที่เที่ยวแนวเดียวกัน พอเราไปกับคนเหล่านี้ก็จะคิดอะไรเหมือนๆ กัน ทั้งไปยืนรอ อดนอน เพื่อที่จะไปถ่ายรูป

   พี่ต่อ เป็นคนแรกที่ทำให้รู้จักกับแก็งนี้ พี่ต่อเขาเป็นเซียนฟูจิ

   และอีกคนที่เซียนฟูจิ เพิ่งจะรู้จักเมื่อปีที่แล้วชื่อ พี่ใหม่ เขาทำงานอยู่กับ ททท. แต่รู้จักทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น คงเป็นเพราะว่าเขาพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่อง พี่ใหม่เป็นคนที่ฟิตมาก ปีนขึ้นเขายากๆ 7-8 ช.ม. แกไปมาหมดแล้ว เพราะแกปีนเขาทุก 2 อาทิตย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คือเดินไปกับแกตอนตี 4 แกอายุ 40 กว่าปี ผม 33 ปีแต่ตามแกไปทัน แกเดินหายไปเลย สักพักแกก็เดินกลับมาถาม “ไหวไหมเนี่ย เอามา พี่ช่วยถือขาตั้งกล้องให้” แล้วแกก็เดินไปเลย หายลับไปอีก

   เรากล้าพูดว่า คนนี้คือคนไทยที่รู้จุดถ่ายภาพในญี่ปุ่นเยอะที่สุดแล้ว เขาถ่ายรูปมา 20 กว่าปี และก็ส่งภาพประกวดที่ญี่ปุ่นตลอด แกรู้จักพวกช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่ถ่ายฟูจิโหดๆ ทุกคนเลย พอเราบอกชื่อไป เขาก็บอก “อ๋อ นี่เพื่อนพี่เอง” สังเกตได้จากขณะที่เรากำลังถ่ายรูปอยู่ สักพักคนญี่ปุ่นเดินมา แกก็เดินไปคุยกับเขา

ช่วยเล่าชีวิตประจำวันช่วงที่ไปถ่ายรูปที่ญี่ปุ่นใน 1 วัน ʕ•ᴥ•ʔ

   ช่วงหลังๆ ผมมีโจทย์ว่าไปถ่ายภาพ 4 ฤดูภายในปีเดียว เราจะต้องไปบ่อยมาก แล้วเราอยู่ญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 15 วัน ก็จะเล็งเลยว่าอยากได้ภาพแบบไหนแล้วค่อยไป อย่างปีที่แล้วไปช่วงซากุระมา 3 รอบ บินไป 7 วันแล้วกลับมาร้องเพลง วันถัดไปบินไปญี่ปุ่นอีก ทำขนาดนั้นก็ยังพลาดไปหลายที่เหมือนกัน เช่น ไปถ่ายซากุระที่เขาโยชิโนะ จังหวัดนารา

   ส่วนใหญ่ตอนกลางคืนเราก็ต้องเอารถขึ้นไปรอตั้งแต่ตี 1 แล้วพอ 6 โมงเช้าเราก็ลง เรียกว่าอยู่เมืองไทยคือการพักผ่อน อยู่ญี่ปุ่นคือไปใช้แรงงาน

   ยิ่งไปถ่ายฟูจินี่คือโหด อย่างผมถ่ายฟูจิเมื่อมกราคม มันเป็นช่วงหน้าหนาวฟ้าจะใส เพราะไม่มีไอน้ำ และฝุ่นละอองจากเมืองจีน เลยกลายเป็นครั้งที่ไม่ได้นอนเลย ถ่ายแสงเช้าตี 5.30 - 7 โมง แต่ก็ต้องไปรอตั้งแต่ตี 4 เลยตื่นตั้งแต่ตี 2-3 แต่ก็ไม่ได้จองโรงแรมไว้ เพราะที่ญี่ปุ่นเช็คเอาท์เวลา 10 โมง ถ้าถ่ายเสร็จ 7 โมง พอ 8 โมงกลับไปถึงที่พัก กว่าจะได้นอน 9 โมง มันก็ไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นถ้าเราเช่า 2 คืนเราถึงจะได้นอนที่โรงแรม แต่ตามปกติก็จะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ เลยไม่ได้อยู่โรงแรมเดิมมากกว่า 1 คืน ดังนั้นก็จะไม่จองโรงแรม แล้วทำไง

   7 โมงไปกินข้าวเช้า กินเสร็จประมาณ 8 โมงกว่า ก็ไปออนเซนสาธารณะถึงประมาณ 9 โมง พอแช่ออนเซนเสร็จ เราก็จะนอนที่โซนเสื่อตาตามิสักประมาณ 3-4 ชม. ก็ตื่นมาถ่ายภาพฟูจิต่อตอนบ่าย 2 ถึงเย็นๆ พระอาทิตย์ตก หาข้าวเย็นกิน แล้วไปนอนร้านเน็ต

   ต้นปีที่ผ่านมา ผมตั้งใจไปถ่ายภาพรถไฟ แล้วก็นก เพราะว่าหัวรถจักรไอน้ำพังที่คุชิโร่ จังหวัดฮอกไกโด ตารางถ่ายภาพก็จะเริ่มที่บิเอะเพื่อไปถ่าย Blue pond ไลท์อัพ อากาศ -18 องศา และไปรอถ่ายนกกระเรียน พอมานึกดูอีกที เอ่อ เว้ย เราก็ทำไปได้ว่ะ ร้องเพลงอยู่ดีๆ ทำไมต้องมาไปเรียนรู้วิถีชีวิตนกด้วยวะ

คนที่มีอิทธิพลต่องานถ่ายภาพของเราเป็นใคร ʕ•ᴥ•ʔ

   ในกลุ่ม 8 คน คนที่ถ่ายสวยและ Process ออกมาได้สวยจริงๆ จะเป็นโอกับ พูม โอจะเป็นสายที่ถ่ายภาพแบบมีเรื่องราว ไปดูรูปเขาในไอจีจะมีเรื่องราวตลอด พอไปดูรูปเขาจะทำให้มองว่า สไตล์นี้ก็เป็นอีกแบบหนึ่งที่คนถ่าย Landscape สามารถถ่ายได้เหมือนกัน ช่วงหลังๆ เลยเริ่มถ่ายภาพให้มีเรื่องราวบ้างเช่น มีวิวสวยๆ และมีคนสองคนเดินคู่กัน

ตอนนี้พอใจกับผลงานตัวเองระดับไหน ʕ•ᴥ•ʔ

   ยังรู้สึกว่าพัฒนาได้อีกเพราะในกลุ่มเราก็ยังมีประสบการณ์การถ่ายภาพน้อยสุด 3-4 ปีเอง ก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไปอีก คนถ่าย Landscape พอถ่ายเสร็จแล้วก็ยังต้องขึ้นอยู่ที่การ Process ภาพเพื่อให้ออกมาดีที่สุดอีก ซึ่งเราก็เป็นคนที่ยังไม่คิดจะเรียน Photoshop ใช้ Lightroom อยู่แล้วแหละ แต่ไม่ได้ใช้หนักมากถึงขั้นที่ถ่ายสองเลเยอร์มาซ้อนกัน เพราะเรารู้สึกว่าพอทำอย่างนั้นแล้ว วิธีการถ่ายภาพของเรามันจะเปลี่ยน

ภาพถ่ายที่เอามาลงเล่ม ยังตั้งใจเอาไปใช้กับงานประเภทอื่นๆ อีกไหม ʕ•ᴥ•ʔ

   เคยเอาไปขายที่เว็บไซต์ Stock photo นะ แต่พอหลังๆ เราเริ่มขี้เกียจ เพราะว่าพอเราส่งไปแล้วเราต้องแต่งภาพให้ตรงตามแบบที่เขาต้องการ สุดท้ายแล้วเรารู้สึกว่ารูปหนึ่งที่เราถ่ายมาตั้งไกล ตั้งยาก ขายได้ 0.89 เหรียญ คือเราเข้าใจว่าถ้าขายได้เยอะ มันก็รวย แต่เราก็ยังรู้สึกรับไม่ได้กับการที่เอารูปเราไปใช้ด้วยราคาเท่านี้จริงๆ มีความคิดว่า เอาไปปริ้นขายยังได้ราคาดีกว่าอีก

แล้วคิดจะถ่ายภาพเอาเป็นอาชีพไหม ʕ•ᴥ•ʔ

   ไม่คิดเอาเป็นอาชีพแน่นอน

   ตอนที่เราทำเพลง เราทำเพื่อขายเพราะเราทำเป็นอาชีพ เมื่อเรามีค่ายเพลงของเรา เขาจะกำหนดแนวเพลงว่า อ่ะ เรามีหน้าตาแบบนี้นะ เสียงแบบนี้ ลุคคุณแบบนี้ ดังนั้นคุณควรจะขายแบบนี้ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เป็นแนวเพลงที่เราชอบก็ได้ อย่างส่วนตัวเป็นคนชอบป๊อบ-ร็อก แต่ก่อนหน้านี้ก็ยังต้องร้องเพลงละคร เราเลยคิดว่าเมื่อไหร่ที่เราทำเป็นอาชีพ แนวทางก็จะถูกบิดจนไม่เป็นตัวเองเพื่อให้ขายได้ ซึ่งถ้าแนวคิดนี้มาเข้าสู่การถ่ายภาพ มันก็จะไม่สนุก เลยเป็นเหตุผลที่ว่าอาชีพก็ส่วนอาชีพ งานอดิเรกก็ส่วนงานอดิเรก อย่าเอามาปนกัน ยกตัวอย่าง ศิลปินอย่างอาจารย์เฉลิมชัย ถ้าแกไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงิน แกก็ทำศิลปะตามแบบของแกไป แต่ถ้าวันหนึ่งแกบิดตัวเองให้ทำตามที่คนอื่นต้องการ แกรวยกว่านี้แน่นอน แต่ความเป็นตัวแกก็จะไม่มีไง

อนาคตจะมีโปรเจคอะไรที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นอีกไหม ʕ•ᴥ•ʔ

    ช่วงหลังมาผมก็เริ่มเล็งการทำรายการบนยูทูป เอาตัวผมเวลาไปเที่ยวมาสวมบทบาทเข้ากับรายการให้คนได้เห็นว่า อ๋อ เวลาไปเที่ยวรุจนอนร้านเน็ตนะ ให้เห็นความเรียลของรุจไปเลย และคิดไว้ว่าจะมีแขกรับเชิญ พาเขาไปลำบากกับเราซักวัน 2 วัน โดยกันยายนนี้จะเริ่มแล้ว

การชม "ซากุระ" ยังทำให้รู้สึกว้าวได้อยู่ไหม ʕ•ᴥ•ʔ

   ช่วงหลังๆ มา ถ้าให้เลือกไปเดินเล่นคนเดียวในเมือง หรือให้หาอะไรถ่าย จะเลือกอย่างหลังมากกว่า แต่ถ้าสมมติวันหนึ่งมีแฟน เราก็ยังรู้สึกว่า การเดินเล่นดูซากุระ อะไรที่มันเบสิกก็ยังทำให้รู้สึกว้าวได้อยู่

แสดงว่าตอนนี้ยังไม่มีแฟนใช่ไหม ʕ•ᴥ•ʔ

   ไม่มี เพราะถ้ามีคงไม่ได้ไปแบบนี้ แต่ก็เคยคิดว่าถ้ามีการเที่ยวเราจะเปลี่ยนไปนิดนึง มันก็จะซอฟท์ลง เพราะเราก็จะเลือกสถานที่ที่คิดว่าอันนี้น่าพาผู้หญิงไป นี่ๆ เรามาร์คจุดสถานที่ท่องเที่ยวไว้ในแมพด้วย (โชว์แอพกูเกิ้ลแมพให้ดู)

ถ้ามี ที่ไหนที่จะพาแฟนไป ʕ•ᴥ•ʔ

   จริงๆ ที่คิดไว้ก็จะเป็นที่โรแมนติกหน่อย ตอนแรกเคยคิดว่าจะทำหนังสือรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกเอาไว้สำหรับพาสาวๆ ไป ปัญหาคือมันยังไม่ได้พิสูจน์เลยยังไม่สามารถมโน ยกตัวอย่าง ปราสาทโอซาก้าตอนกลางคืนมีเปิด Light up เปิดเพลงแบบหวานซึ้งมาก และซากุระมันก็สวย

   ที่ที่คิดว่าเหมาะจะพาสาวไปคือ Ginzan onsen มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ และยิ่งถ้าเป็นช่วงหิมะตก ทุกคนก็จะออกไปแช่ออนเซ็น และพอแช่เสร็จตัวมันก็เริ่มอุ่นๆ ใช่มะ ก็ออกมายืนดูบรรยากาศ เคยไปกับเพื่อนผู้ชายกันสองคน ไปยืนมองหน้ากันแล้ว อู้ย... ถุ้ย!

ตอนนี้ไปมาครบทุกภูมิภาคหรือยัง ʕ•ᴥ•ʔ

ยัง ยังมีชิโคขุยังไม่ได้ไปเป็นเกาะข้างๆ คิวชู ที่จะมีอยู่ 4 จังหวัด

ภูมิภาคที่ชอบคือที่ไหน ʕ•ᴥ•ʔ

    มี 2 ที่คือ โทโฮขุ กับฮอกไกโด โทโฮขุก็จะชอบภูเขา แต่อย่างฮอกไกโดก็จะเป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างอิสระกว่า เป็นพื้นที่โล่งๆ คือเราชอบอารมณ์ขับรถไปเรื่อยๆ อย่างปีที่แล้วที่ไปมา 15 วัน ขับไป 3,000 กิโลเมตรตั้งแต่ออกจากสนามบิน

ในเฟสบุ๊คมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องการเดินทางจากฟุกุโอกะมาที่นากาโน่เพื่อถ่ายรูปฟูจิซัง แล้วขับรถกลับเลยทันที แต่นก เรามีวิธีจัดการกับความผิดหวังอย่างไร ʕ•ᴥ•ʔ

   วิธีจัดการความผิดหวังที่ดีที่สุดคือการไปที่นั้นใหม่อีกรอบ จริงๆ ตอนนั้นอากาศดี ฟ้าสวยมากด้วยนะ แต่หมอกต่ำ ปิดฟูจิซังหมดเลย

   ที่ผ่านมาก็จะมีเฟลหลายครั้ง เพราะฉะนั้นก็จะทำใจไว้ระดับหนึ่งก่อนไป เพราะว่าเราไปถ่ายใหม่ได้บ่อย แต่ถ้าเป็นคนที่ชีวิตหนึ่งได้ไปแค่ครั้งเดียวก็คงต้องมองหาความสนุกอื่นๆ รอบตัวในเวลานั้นให้ได้ อย่างผมไปเที่ยวมิสึ แล้ววันนั้นฝนตกหนักมาก แต่มันทำให้ได้ภาพรุ้งกลับมา แทนที่จะรู้สึกเปียก

   หรืออย่างน้อยก็คิดซะว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้พักผ่อนไง สมมติไปถ่ายฟูจิแล้วฟ้าปิด แล้วถ่ายไม่ได้ ก็ยังได้ไปนั่งจิบกาแฟ คิดนู่นคิดนี่ มันก็โอเค

ไปญี่ปุ่นมากว่า 30 ครั้ง แสดงว่าเราก็เป็นคนที่ทุ่มเทอะไรที่ชอบมากๆ ʕ•ᴥ•ʔ

   ก็มีคนถามว่า ทำไมถึงไปแต่ญี่ปุ่น ยุโรปไม่ไปบ้าง อย่างไอซ์แลน์ที่ไปถ่ายแสงเหนือ ก่อนหน้านี้ก็สนใจนะ แต่พอหลังๆ คนเริ่มไปเยอะแล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกเฉยๆ แต่กลับกัน ที่ญี่ปุ่นมันมีสถานที่ที่คนยังไม่ได้รู้จักกันอีกเยอะ และญี่ปุ่นมันก็ไปง่ายด้วย อีกอย่างเราก็ชอบความปลอดภัยของญี่ปุ่น เดินถือกล้องราคา 5 แสนบาทไปก็รู้สึกปลอดภัย ผมเคยลืมไว้กลับมาเอาก็ยังอยู่ซึ่งผมเป็นอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน อย่างเคยลืมขาตั้งกล้องไว้แล้วขับไปอีกเมือง พอกลับมาเอามันก็ยังอยู่ที่เดิม เลยกลายเป็นความรอยัลตี้ของเรากับประเทศนี้ไปแล้ว เที่ยวญี่ปุ่นแล้วสบายใจ

ความรักก็ทุ่มเทเหมือนกันหรือเปล่า ʕ•ᴥ•ʔ

ทุ่มเทสิ แต่แค่ตอนนี้ยังไม่มี

ญี่ปุ่นสอนอะไรกับเรา ʕ•ᴥ•ʔ

   จริงๆ ก็สอนหลายอย่างเลย แต่เรื่องหนึ่งที่รู้สึกว่าเอามาใช้ได้จริงๆ คือเรื่องระเบียบวินัย

   เราอยู่เมืองไทยเป็นเมืองที่ยืดหยุ่น ส่วนญี่ปุ่นก็จะเคร่งครัดมาก มันก็มีข้อดีข้อเสียคนละแบบ แต่ถ้ามันยืดหยุ่นไป มันก็จะยวบ

   ทุกวันนี้คือผมขับรถอยู่ที่เมืองไทยก็จะหงุดหงิดมาก เข้าใจเลยว่าทำไมคนมันถึงถีบรถกัน แต่ถ้าเป็นประเทศญี่ปุ่นมันจะมีระเบียบมาก ต้องขับความเร็วไม่เกินเท่านี้ ขนาดตอนกลางคืนอากาศ -7 หรือ -10 องศา ไฟเขียวนะ ไม่มีรถวิ่งผ่าน แต่ก็ยังไม่มีคนข้าม ถ้าเป็นบ้านเรา เราจะยืนรอมะ ก็คงชวนเพื่อน “ไปเหอะ” แต่ผมก็ยังเห็นคุณลุง 2 คนยืนรอจนสัญญาณไฟแดงก่อนแล้วค่อยเดินไป

   หรืออย่างการทำงาน เขาก็จะจริงจังกับการทำงานของเขาตลอด เอาง่ายๆ เลยอย่างพนักงาน หรือแม้แต่คนที่ยืนโบกรถที่ถนน เวลาถนนปิดก็จะมีคุณลุงมาโบกให้เดินผ่าน เห้ย! เขาไม่เคยหายไปเลยนะ แล้วหน้าตาถึงแม้จะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่าย หรือแม้แต่คนต้อนรับอยู่บนโตเกียวสกายทรี ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มทั้งวันตั้งแต่เช้าจนเย็น นั่นคือความตั้งใจทำงานของเขา นั่นคือสิ่งดีๆ ที่เราได้เรียนรู้เอามันกลับมาใช้

   หรืออย่างสังคมถ่ายภาพบนเขา ก็จะรู้เลยว่าอะไรคือระเบียบวินัยของเขา ใครมาถึงคนแรกเขาก็ตั้งขาตั้งกล้องจองที่ไว้ก่อน แล้วค่อยไปนอนรอบนรถ กลับไปอีกทีหนึ่ง ขาตั้งกล้องก็ยังอยู่ที่เดิม ขาตั้งกล้องอันหนึ่งราคาแพงนะ สมมติถ้ามีคนมากวาดเก็บกลับบ้านหมดเลยคือรวยแล้ว แต่นี่คือวางเรียงให้รู้ว่าใครมาก่อนมาหลัง

   พี่ใหม่ กับพี่ต่อเขาก็จะสอนเราว่า มีคนวางขาตั้งกล้องไว้อยู่ เราสามารถเอาขาตั้งกล้องเราไปวางใกล้เขาได้ แต่ต้องคิดถึงเวลาที่เขากางออกจะมาชนเราหรือเปล่า ถ้าชนแสดงว่าเราต้องกระเถิบไปอีกนิดหนึ่ง แล้วถ้าเราจะไปแทรกที่ว่างตรงกลาง บางทีก็ต้องขอเขาก่อน

   หรืออย่างตอนไปถ่ายรถไฟ ช่างภาพเขาจะเงียบมาก แต่คนไทย คนจีนจะคุยกันเสียงดัง โช้งเช้ง

   มีคลิปของพี่ต่ออยู่คลิปหนึ่งที่อยากให้ดูมาก คิดว่าถ้าได้ดูคงรู้สึกดี เสียงลั่นชัตเตอร์ดังเมื่อหัวรถไฟโผล่ออกมา พอหัวรถไฟหายลับไปปุ๊บ ก็เงียบทันที คือไม่มีเสียงใครคุยกันเลยเว้ย ถ่ายสร็จปึ๊บ เขาก็เก็บกระเป๋ากับขาตั้งกล้องวิ่งไปหามุมใหม่ต่อ

 

ผลงานหนังสือภาพถ่ายล่าสุด Japan Best of Seasons

Facebook https://www.facebook.com/OutsideTheRoom/

Instagram https://www.instagram.com/suparuj/

FOLLOW US ON
FACEBOOK