พาเที่ยวสวน Kenrokuen 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (Ishikawa)

_1090238S

Kenrokuen สวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามลงตัวทางด้านแลนด์สเคปและองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 11.4 เฮกตาร์ จึงทำให้สวนแห่งนี้สามารถที่จะแบ่งพื้นที่การจัดสวนได้มากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสวนเดียวกัน แต่ในจุดต่าง ๆ นั้นก็แบ่งแยกความรู้สึกและอารมณ์ของสวนไปได้ทั้งหมด  ด้วยการจัดสวนที่โดดเด่น การเล่นกับน้ำ รวมถึงการใช้หินที่มีเอกลักษณ์ จึงทำให้สวนนี้มีความพิเศษและเป็นที่จดจำมากกว่าสวนญี่ปุ่นทั่วไป

_1090249

จุดเด่น 6 ประการสำคัญของสวนนี้ประกอบไปด้วย ความกว้างขวาง ความสงบ มีเทคนิคลูกเล่น เก่าแก่ ทางน้ำ และทัศนียภาพที่สวยงาม จุดเด่นเหล่านี้สามารถมาสัมผัสได้ที่สวนแห่งนี้

สวน Kenrokuen นี้ มีประตูทางเข้าถึง 7 แห่ง แต่ประตู Katsurazaka จะได้รับความนิยมมากกว่า (ประตูที่เชื่อมกับ Ishikawa-mon ปราสาท Kanazawa) เมื่อผ่านเข้ามาแล้วก็จะเจอร้านของฝากดักเอาไว้ตั้งแต่ปากทางเลย เมื่อเดินต่อเข้าไปอีกหน่อยก็จะพบกับ Kasumiga-ike ซึ่งเป็นสระน้ำที่ใหญ่ที่สุดในสวนแห่งนี้ และเป็นจุดสำคัญของสวนด้วย

_1090238

บริเวณสระน้ำ Kasumiga-ike / โคมไฟหิน Kotoji / สะพานหิน Niji / เกาะ Horai (เกาะเต่า)

บริเวณนี้เป็นจุดที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวเพราะว่ามี Kotoji Toro หรือโคมไฟหินที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของสวน Kenrokuen ความแปลกของโคมไฟ Kotoji อันนี้คือ มีขาหนึ่งอยู่ในน้ำ และขานึงอยู่บนดิน เป็นประเภทหนึ่งของโคมไฟหิน Yukimi

_1090240

Karasaki Pine Tree

ถัดมาจาก Kotoji Toro ก็คือต้นสน Karasaki เป็นต้นสนสีดำเก่าแก่ที่ปลูกโดย Maeda Nariyasu ไดเมียวรุ่นที่ 13 ของตระกูล Maeda แห่งจังหวัด Kaga ซึ่งต้นสนนี้ปลูกด้วยเมล็ดจากแถบ Biwa จนสูงใหญ่ ส่วนเชื่อที่ดึงกิ่งไม้อยู่นั้นมีชื่อว่า Yukitsuri ซึ่งเป็นวิธีการนำเชือกมาปกป้องต้นไม้จากหิมะ ไม่ให้ทับถมจนหนักเกินไป และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของสวน Kenrokuen เช่นกัน เป็นภูมิปัญญาที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์เด่นของสวนแห่งนี้

_1090633

Yukitsuri

Yukitsuri นั้นไม่ได้มีตลอดทั้งปี ทุก ๆ ต้นเดือนพฤศจิกายนก่อนเข้าฤดูหนาวจะมีการนำเชือกมาผูกกับต้นไม้ไว้แบบนี้ เพราะจะเอาไว้กันหิมะในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง และในช่วงต้นเดือนมีนาคม หลังจากที่หิมะละลายหมดแล้วก็จะนำเชือกออก

_1090632

Gankou-Bashi

ข้าง ๆ กันนั้นก็มีอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของสวน Gankou-Bashi สะพานหิน 11 ก้อน ที่วางเหมือนกับฟอเมชั่นการบินของห่าน แต่ก็มีอีกชื่อเรียกหนึ่งก็คือสะพานกระดองเต่า เพราะหินแต่ละก้อนนั้นมีรูปทรงเหมือนกระดองเต่านั่นเอง ปัจจุบันนี้ไม่สามารถเดินข้ามสะพานนี้ได้

_1090241

Shichi-Fukujin-Yama (ตรงโคมไฟหิน)

ถัดจาก Gankou-Bashi ก็คือ Shichi-Fukujin-Yama หรือเนินเขาของเทพเจ้าแห่งความโชคดี ซึ่งจะมีโคมไฟหิน 3 ขาตั้งอยู่ด้านหน้า และมีหิน 7 ก้อนแทนเทพเจ้าทั้ง 7 สร้างโดยไดเมียวตระกูล Maeda รุ่นที่ 12 Maeda Narinaga ซึ่งตั้งอยู่ติดกับ Takezawa Palace (ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว)

_1090298

ส่วนหนึ่งของพื้นที่ Takezawa Palace

Takezawa Palace คือวังที่สร้างขึ้นในยุคของ Maeda Narinaga เป็นหนึ่งในวังที่มีสเกลขนาดใหญ่ มีห้องมากกว่า 200 ห้อง สร้างเสร็จในปี 1822 หลังจากสร้างเสร็จท่าน Narinaga ก็ใช้ชีวิตอยู่กับการดูการแสดง Noh ซึ่งวังแห่งนี้มีเวทีแสดง Noh ถึง 2 เวที แต่พอถึงยุคของ Nariyasu รุ่นที่ 13 วังแห่งนี้ก็ถูกรื้อถอนออกไป

_1090303

Neagari-no-Matsu

ต้นสนในสวน Kenrokuen นั้นก็มีอยู่หลายต้น แต่หนึ่งในต้นที่พิเศษของที่นี่ก็คือ Neagari-no-Matsu ปลูกโดย Maeda Nariyasu รุ่นที่ 13 ด้วยเทคนิคการนำต้นสนอ่อนวัยปลูกไว้กับเนินดิน เมื่อต้นสนโตได้ที่และมีความแข็งแรงเพียงพอแล้ว จึงนำดินออก ภาพที่เห็นจึงเป็นเหมือนต้นไม้ยืนได้นั่นเอง

_1090257

Plum Grove Garden

มาเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิด้วยดอกบ๊วยกันเถอะ! Plum Grove Garden คือสวนดอกบ๊วยที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบ 100 ปีของยุคสมัยเมจิ ที่นี่มีต้นบ๊วยกว่า 200 ต้น 20 สายพันธุ์ นำมาจากสถานที่ต่าง ๆ ช่วงที่ไปนั้นเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม เป็นช่วงที่ดอกบ๊วยหรือพลัมนั้นออกดอกต้อนรับนักท่องเที่ยวพอดี จุดนี้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเลย

_1090253

_1090618

_1090625

สวนใหญ่ๆ แบบนี้ก็มักจะ Tea House ใช่ไหม? แน่นอนว่ามี! แถมมีถึง 4 แห่งเลยล่ะ เดี๋ยวผมจะพาไปชม 1 ใน 4 โรงน้ำชาของสวนเคนโรคุเอ็นกันครับ

_1090274

Shigure-tei

Shigure-tei โรงน้ำชาขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวน สร้างขึ้นในสมัยท่านไดเมีย Maeda Harunaga รุ่นที่ 11 แต่ก็โดนรื้อถอนออกไป แล้วสร้างขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จในปี 2000 โรงน้ำชานี้ สามารถเข้าไปชมได้ฟรี แต่ผมแนะนำให้สั่งชุดน้ำชาด้วยครับ เพราะบรรยากาศมันได้จริง ๆ

ผมเปิดประตูเดินเข้าไป พนักงานก็พูดต้อนรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมเดินไปที่หน้าเค้าเตอร์แล้วก็สั่งชุดมัชชะ 1 ชุด พร้อมชำระเงิน จากนั้นพนักงานก็พาผมไปบริเวณห้องน้ำชา ในตอนนั้นก็นั่งบนเสื่อตาตามิ มองเห็นสวนสวย ๆ ด้านนอก บรรยากาศที่เงียบสงบช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นั่งรอไม่นานนักพนักงานก็นำชุดชามาเสิร์พ ซึ่งในชุดก็จะมีวากาชิแปะทองคำเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นคานาซาว่ากับมัชชะ ดื่มไป ชมสวนไป อากาศในวันนั้นประมาณ 18 องศา อากาศเย็นแบบนี้แล้วได้ดื่มมัชชะไปด้วย มันคือความฟินอย่างหนึ่งเลย

สำหรับราคาชุดน้ำชานั้น มีดังนี้
Matcha 720 เยน
Green Tea 310 เยน
* ในชุดจะมีชา 1 ถ้วย กับขนม 1 ชิ้น

_1090264

Matcha Set 720 เยน

หลังจากอิ่มเอมไปกับชุดมัชชะจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากห้อง แต่พนักงานแนะนำให้เดินไปชมห้องน้ำชาอีกห้องหนึ่งข้างกันด้วย บรรยากาศของห้องนี้ก็ดูสงบและรู้สึกปลอดโปร่งกว่า เพราะมีแสงเข้ามาในห้องจาก 3 ด้าน เหมาะแก่การนั่งชมสวนเงียบ ๆ

_1090265

ถ่ายจากห้องน้ำชาฝั่งซ้าย

_1090268

ห้องน้ำชาสำหรับชมสวน

_1090277

Hisago-ike Pond ในภาพประกอบไปด้วย เจดีย์ Kaisei / น้ำตก Midori /

เดินถัดมาอีกเล็กน้อยก็จะเจอกับบ่อน้ำ Hisako-ike บริเวณนี้แต่เดิมคือสวน Renchi-tei สวนดั้งเดิมของที่นี่ แถมบ่อนี้ยังมีรูปทรงเหมือนน้ำเต้าด้วยนะ เจดีย์ทางขวามือคือเจดีย์ Kaiseki สูง 4.1 เมตร มีสองที่มาที่ไม่ชัดเจน หนึ่งคือจากการย้ายมาจากเจดีย์หิน 13 ชั้นภายในปราสาทคานาซาว่า และอีกที่มาคือสมัยทำสงครามบุกเกาหลี Toyotomi Hideyoshi ได้นำหินมาจากเกาหลี และนำมาเป็นรางวัลให้กับ Maeda Toshiie ถัดไปคือน้ำตก Midori เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากบ่อ Kasumiga-ike นั่นเอง

_1090286

และอีกหนึ่งจุดเด่นของเค็นโรคุเอ็นก็คือ น้ำพุครับ  เป็นน้ำพุที่ได้มาจากการไหลของน้ำใน Kasumiga-ike น้ำพุมีความสูงกว่า 3.5 เมตร และเป็นน้ำพุที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

_1090648

ร้านของฝากและขนมในสวน

_1090650

ร้านค้าด้านนอกสวน ซึ่งเคยเป็นบ้านพักในสมัยก่อน

_1090318

Hanami Dango ขนมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่สวน Kenrokuen

จบไปแล้วสำหรับการเที่ยวชมสวน Kenrokuen แบบคร่าว ๆ ในแต่ละฤดูนั้นจะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นฤดูหนาวหิมะตกก็จะมีโทนขาวดำสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกซากุระให้ชมสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ฤดูร้อนกับการต้อนรับของดอกไม้นานาพันธุ์ หรือฤดูใบไม้ร่วงกับการเปลี่ยนสีของใบไม้ต่าง ๆ นา ๆ ผมพาเที่ยวแบบไม่ครบทุกจดเพราะว่าบางส่วนจะเหมาะกับฤดูอื่นมากกกว่า เช่น บริเวณ Yamazaki-yama ที่มีแต่ต้นเมเปิ้ลกับต้นไม้ที่เปลี่ยนสีสวยงามไปทั้งบริเวณ แต่ถ้าไปช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูใบไม้ผลิก็จะเห็นเป็นกิ่งไว้ธรรมดาสะส่วนใหญ่ ผมเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมกันครับ หรือถ้าใครอยากมาชม Light-up ก็มีให้ชมเช่นกันครับ แล้วจะมีรถวิ่งให้บริการในช่วงกลางคืนทุกวันเสาร์ครับ

c16702a081ffd33c1ffb159c21dffc40_m

ถ้ามาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็จะได้เห็นประมาณนี้ครับ

ข้อมูลการเดินทาง
เดินทางด้วย Kanazawa Loop Bus
(1 Day Pass 500 เยน หรือ 200 เยน/เที่ยว)
Right Loop (RL): RL7(ใกล้ที่สุด) หรือ RL8
Left Loop (LL): LL8(ใกล้ที่สุด) หรือ LL9
เดินทางด้วย Kenrokuen Shuttle: S6, S7 หรือ S8
ข้อมูล Kanazawa Loop Bus และ Kenrokuen Shuttle(PDF)

Kanazawa Light-up Bus ป้ายที่ 4 
วิ่งทุกวันเสาร์ยกเว้นวันที่ 31 ธันวาคม
ข้อมูล Kenrokuen Light-up Bus(PDF)

ค่าเข้าชมสวน
ผู้ใหญ่(18+ปี) 310 เยน
เด็ก(6-17ปี) 100 เยน

[googlemaps https://www.google.com/maps/embed?pb=!1m18!1m12!1m3!1d3204.6673856928937!2d136.66046281556422!3d36.56213208876362!2m3!1f0!2f0!3f0!3m2!1i1024!2i768!4f13.1!3m3!1m2!1s0x5ff83383f9b25905%3A0x970a7b3df003f2e4!2sKenroku-en!5e0!3m2!1sen!2sth!4v1464684588055&w=600&h=450]

FOLLOW US ON
FACEBOOK