Day 3
เช้าวันนี้ตื่นมาแบบเพลีย ๆ เล็กน้อย ก็แหงล่ะ...เล่นไปเที่ยวชิราคาวะโกแบบเช้า-เย็นกลับ วิ่งเข้า-ออกรถไฟเป็นว่าเล่นขนาดนั้น แต่วันนี้ยังไงก็ The show must go on ! วันนี้เราจะมาแพ็คกระเป๋าไปนอนที่เกียวโตกันค่ะ เอ๊ะ ! แต่เราเคยบอกไปเมื่อตอนที่ 1 ว่าเราจองที่พักในโอซาก้าไว้ตลอดทั้งทริปไม่ใช่เหรอ ? นั่นก็เพราะเราจะเอาที่นี่ไว้เป็นที่เก็บกระเป๋าใบใหญ่น่ะสิ สำหรับวันนี้และพรุ่งนี้เราเอาแค่กระเป๋าใบเล็กสำหรับค้างที่เกียวโต 2 คืนเท่านั้น ไปค่ะ ได้เวลาออกเดินทาง !
ก่อนจะเข้าเกียวโต เราแวะไปหาน้องกวางที่นารากันก่อน จากสถานี JR Namba เราขึ้นรถไฟ Nara Line ไปลงที่สถานี Nara (奈良駅) ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น จากสถานีก็เดินตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านถนนการค้าที่มุ่งหน้าไปสู่ Nara Park เมื่อไปถึงแล้วก็เจอน้องกวางออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ด้านหน้าเจดีย์ห้าชั้นหนึ่งตัวถ้วน น่ารักมาก
แต่จุดที่น้องอยู่เยอะ ๆ ไม่ใช่ตรงนี้ เราเดินลึกเข้าไปในสวนอีก เห็นซุ้มขายเซมเบ้อยู่ไกล ๆ และน้องกวางอีกเป็นฝูง ยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อเราข้ามถนนไปอีกฝั่งเราจะได้เดินตัดผ่านสวนใหญ่ที่มีน้องเดินไปเดินมา บางทีก็เดินปรี่เข้ามาขอขนมกิน
เราเดินตัดสวนไปยังวัด Todaiji ซึ่งมีพระองค์ใหญ่ หรือไดบุทสึอยู่ในนั้น แต่หากจะเข้าไปต้องเสียค่าเข้าชมด้วยนะคะ
เสร็จเรียบร้อยเราก็เดินกลับมาทานข้าวเที่ยวกันที่ร้านสไตล์ Family Restaurant แถว ๆ สถานีชื่อว่าร้าน Saizeriya ที่มีเมนูถูกและดจีย์มาก มีทั้งพิซซ่า พาสต้า กราแตง ไวน์และเบียร์ราคาถูก ใครที่ไม่ดื่มก็มีดริงค์บาร์สุดคุ้ม ตกคนละ 1,000 เยน (ประมาณ 300 บาท) แต่ได้อาหารมาหลายอย่างมาก
เสร็จจากนาราก็ได้เวลาเข้าเกียวโตแล้ว ก่อนจะเข้าไปในตัวเมืองเราจะพาไปแวะเมืองแห่งชาเขียวอย่าง Uji กันก่อน จากสถานี JR Nara ไปยัง JR Uji ใช้เวลา 30 นาทีเท่านั้น
เป้าหมายของเมืองอุจิ นอกจากชาเขียว ก็คือวัดเบียวโดอิน (Byodoin) ซึ่งเป็นวัดเดียวกับที่อยู่ในเหรียญ 10 เยนของญี่ปุ่น ตัวสถาปัตยกรรมของวัดจะอยู่กลางน้ำ สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง หลังจากที่เราเดินถ่ายรูปรอบ ๆ วัดแล้ว ทางเดินก็จะบังคับให้เราเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงประวัติความเป็นมา ชิ้นส่วนเก่า ๆ ของวัดที่นำมาเก็บรักษาไว้ที่นี่ บริเวณทางออกมีร้านขายของที่ระลึก และร้านคาเฟ่ชาเขียว แต่ตอนนั้นฝนดันเทกระหน่ำลงมาเลยอดไปค่ะ
เรานั่งรอเวลาไปสักพักฝนก็หยุดเราจึงเดินต่อไปยังถนนสายชาเขียวด้านหน้าวัดที่มีชาเขียวขายเพียบ ทั้งแบบชง แบบเป็นขนม มีหมด มีหรือที่เราจะรอดจากการช้อปปิ้งไปได้ ?
เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ เราก็มาถึงปากทางและตรงหน้าของเราก็คือสะพานอุจิ (Uji Bridge) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นนักเขียนชื่อดังอย่าง มุราซากิ ชิคิบุ ผู้แต่งตำนาน The Tale of Genji นั่นเอง ด้านหลังของรูปปั้นเป็นวิวแม่น้ำ สะพาน และบ้านเรือน เมื่อมองออกไปแล้วให้ความรู้สึกที่สงบมาก ๆ สบายใจดีจัง
หลังจากชมวิวกันจนหนำใจก็ได้เวลาที่ต้องกลับไปเข้าที่พักสักที แต่ระหว่างทางเดินไปสถานี เรามาแวะร้านชาเขียวสไตล์มินิมอลชื่อดังอย่างร้านมัทฉะ รีพับลิค (Matcha Republic) กันก่อน ร้านนี้เป็นร้านที่เราตั้งใจว่าจะมาแวะให้ได้ เพราะเป็นชาเขียวของเมืองอุจิบรรจุในขวดรูปทรงที่สวยงามยูนีคมาก ๆ
จากร้านนั้นเดินไปสถานีก็ไม่ไกลแล้ว ด้วยความที่ยังเพลียจากเมื่อวาน เราพากันเดินไปขึ้นรถไฟเข้าไปยังเมืองเกียวโตและรีบเข้าที่พักซึ่งตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินชิโจ (Shijo) ซึ่งต้องจ่ายเงินค่ารถไฟเพิ่มเพราะไม่รวมอยู่ใน JR Pass และอยู่ใกล้กับ Nishiki Market ด้วย อยู่ตรงนี้คือสบายมากเพราะของกินและที่ให้ช้อปปิ้งเพียบค่ะ
Day 4
เช้าวันนี้ตื่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อวานมากเพราะได้นอนกันอย่างเต็มที่ ส่วนแพลนเที่ยววันนี้เราจะใช้หนึ่งวันเต็ม ๆ เที่ยวในเมืองเกียวโตกันค่ะ เริ่มแรกเรานั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานีเกียวโต และใช้ JR Pass นั่งรถไฟต่อไปยังสถานีอินาริ (Inari Station ใช่แล้ว เรากำลังจะไปศาลเจ้าจิ้งจอก (Fushimiinari Taisha) กัน จากสถานีเกียวโตนั่งรถไฟไปแค่ประมาณ 10 นาทีก็ไปถึงแล้ว
จากสถานีเดินเข้าไปยังศาลเจ้าก็ไม่ไกลเลยค่ะ ด้านในร่มรื่นมาก กำลังตกแต่งต้นไม้ตามความเชื่อแบบศาสนาชินโตต้อนรับปีใหม่ด้วย เสาโทริอิสีแดงที่มักจะเคยเห็นในภาพถ่ายสวย ๆ ต่าง ๆ มันเทียบไม่ได้กับการได้มาเห็นเองเลยค่ะ ที่นี่ดูเป็นสถานที่เก่าแก่ก็จริงนะ แต่เราเห็นมีวัยรุ่นมาถ่ายรูปฮิปสเตอร์กันเต็มไปหมดเลย
หลังจากเที่ยวถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วเราก็นั่งรถไฟกลับไปยังสถานีเกียวโตเพื่อซื้อตั๋วรถบัส One Day Pass ราคา 600 เยน (ประมาณ 90 บาท) กันค่ะ ด้วยความที่การเดินทางได้แบบสะดวกที่สุดในเกียวโตก็คือรถบัส แต่รถของ JR ที่เราสามารถใช้ JR Pass นั้นมีน้อยมากก... ตัวช่วยเดียวก็คือการซื้อบัตรนี้ สำหรับที่สถานีเกียวโตสามารถซื้อได้ที่ชั้น 3 ของสถานีใน JR Office ได้เลยค่ะ เราก็จะได้บัตรมาพร้อมแผนที่การเดินรถเผื่อให้เห็นว่าเราควรจะไปขึ้นรถที่ป้ายไหน ป้ายรถจะอยู่บริเวณทางออกเดียวกับเกียวโตทาวเวอร์เลย เราสามารถไปขึ้นรถบัสตามป้ายที่แบ่งตามตัวอักษรได้เลยขึ้นง่ายมาก และสำหรับวันนี้เราจะขึ้นรถบัสไปวัดเงินกิงคะคุจิ (Ginkakuji) กันก่อนเลยค่ะ
การนั่งบัสนี่ดีอย่างนึงก็คือเราสามารถชมเมืองเกียวโตในมุมที่อาจจะไม่ค่อยถูกโปรโมทนักได้ ระยะเวลาที่นั่งไป 30 นาทีทำให้เราได้เห็นบ้านเรือนของชาวเกียวโตได้แบบสไลว์ไลฟ์สุด ๆ และไม่นานรถบัสก็มาจอดที่ป้าย Ginkakuji-Michi ถ้าลงป้ายนี้เราจะได้เดินผ่านถนนสายนักปราชญ์ที่โด่งดังในช่วงซากุระบานด้วยนะคะ เพียงแต่ว่าช่วงหน้าหนาวแบบนี้มันเหลือแค่กิ่งเท่านั้น
ก่อนจะไปถึงวัดเงินเราจะโดนหลอกล่อด้วยย่านการค้าด้านหน้าก่อน ซึ่งเรานั้นอดไม่ไหวกับร้านชาเขียวร้านนี้จริง ๆ ค่ะ ตัวร้านอยู่ประมาณกลางซอย ชาเขียวมัทฉะของเขาเข้มข้นมากค่ะ ติดใจเลย และอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะดังของร้านนี้ก็ต้องนี่เลยวาราบิโมจิรสชาเขียว
วัดกิงคาคุจิวันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันหยุดแล้ว ทางเดินสวนป่ารอบ ๆ วัดก็เลยค่อนข้างแน่นและเดินลำบากอยู่พอสมควรแต่ก็ถือว่าสวยคลาสสิคตามคำร่ำลือจริง ๆ
เดินภายในวัดเสร็จแล้วเราก็เดินมาขึ้นรถเมล์ที่ป้าย Ginkakuji-Mae ซึ่งใกล้กว่าป้ายแรก ไปลงที่ Kiyomizu-Michi เพื่อไปวัดน้ำใสกันค่ะ
และเช่นเคยว่าวันนี้วันหยุด สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่างวัดน้ำใส (Kiyomizu Temple) นั้นคนเยอะมาก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบอกเลยว่ากว่าจะเดินไปถึงยอดได้ต้องเดินไกลขนาดไหน วันนี้รู้แล้ว เราใช้เวลาฝ่าคนมหาศาลที่มาเที่ยวในช่วงวันหยุดขึ้นไปจนถึงตัววัดใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ขึ้นไปแล้วก็ยังต้องเจอการก่อสร้างของระเบียงวัดอีกทำให้ยังไม่เป็นที่ประทับใจเท่าที่ควร แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องกลับมาที่นี่อีกทีในวันที่เสร็จสมบูรณ์แล้วให้ได้
เราเดินลงจากเขาไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง นี่ก็เป็นเวลาบ่าย 3 กว่าแล้ว ถึงเวลาไปที่สุดท้ายกันสักทีนั่นก็คือย่านกิอง เราเลือกไปลงที่ย่านกิงองชิราคาวะ (Gion Shirakawa) ที่ใกล้กับแม่น้ำคาโมะ (Kamo River) เพื่อเดินเล่นชมคลอง และเดินไปชมวิวริมแม่น้ำยามเย็น
การมาเดินเล่นริมแม่น้ำทำให้เราเห็นสะพานข้ามแม่น้ำที่คนเยอะมาก ผิดจากตรงนี้ที่เงียบสงบ สามารถมานั่งพักผ่อนได้แบบสบาย ๆ แต่เนื่องจากพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ความหนาวก็ทวีเพิ่มมากขึ้นทำให้เราจำต้องถอยทัพกลับที่พักด้วยบัตรรถบัสที่ซื้อมา เป็นการปิดทริปทัวร์เกียวโตสำหรับวันนี้ไปแบบสมบูรณ์
เรื่องและภาพจากประสบการณ์ตัวเอง