สำหรับคู่รักไม่ว่าจะแฟนหนุ่ม แฟนสาว พาร์ทเนอร์ คนสำคัญ ลองชวนกันไป Onsen Date ดูซักครั้งมั้ย ค่อย ๆ แช่น้ำ พูดคุยกันเรื่อย ๆ น่าจะดีไม่น้อยเลยนะ ครั้งนี้เรามีแพลนออนเซ็นเดทมาแนะนำจุดแวะ ทั้งร้านอาหาร เดินเล่นรอบเมือง หรือจะเดินชมบรรยากาศเรโทรของเมืองออนเซ็นก็มีสีสันนะ งั้นมาสนุกไปกับสีสัน ความสนุกของเมืองออนเซ็นที่คู่รักอยากไปมากที่สุดในภูมิภาคคันโตกันเลย
1. อาตามิ ออนเซ็น : Atami Onsen : 熱海温泉
จังหวัดชิซึโอกะ
ภาพจาก https://wow-j.com/jp/Allguides/shizuoka/sightseeing/01512_jp/
New Open ! อาตามิโฉมใหม่
ในเมืองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของสมัยโชวะที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาเยือนแหล่งท่องเที่ยว ย่านค้าขายที่เป็นเสมือนหัวใจของเมืองก็ต้องตามสมัย แฟชั่น ร้านค้าใหม่ ๆ ที่เปิดรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ห้ามละสายตาเด็ดขาดเลย การเดินทางก็ไม่ยากด้วย
จุดแวะที่ 1 : Atami Square Chu Cream (熱海スクエアシュークリーム)
ร้านชูครีมที่เพิ่งเปิดทำการในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกกับชูครีมรูปร่างสีเหลี่ยมที่มาพร้อมรสชาติชาเชียว สตรอเบอรี่ คัสตาร์ด ในราคา 380 เยนต่อชิ้น ร้านตั้งอยู่ที่ Heisei-Dori (平和通り) ด้วยรูปร่างที่น่ารักต่างจากแบบเดิม ทำให้ร้านกำลังดังและได้รับความนิยมอย่างมาก ที่สำคัญคือรสชาติของตัวครีมใช้วัตถุดิบจากจังหวัดชิซึโอกะเอง รับรองความอร่อย สดใหม่ แน่นอน
จุดแวะที่ 2 : REFS ATAMI
ใบหน้ายิ้มแย้มที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน วัตถุดิบส่งตรงจากสวน จากไร่ท้องถิ่นมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แถมชั้น 2 ยังเปิดเป็นคาเฟ่ให้ผู้รักสุขภาพได้มารวมตัวกันกับเมนูอาหารสายสุขภาพ ความงาม สดใหม่ ส่งตรงปลอดสารเคมี ออร์แกนิคแท้
จุดแวะที่ 3 : Atami Pudding Café 2nd (熱海プリンカフェ2nd)
กินพุดดิ้งไป แช่น้ำไปได้ด้วยหรอ ? คาเฟ่พุดดิ้งที่ดีไซน์ให้เหมือนอยู่ในโรงอาบน้ำ แต่แท้จริงแล้วก็คือคาเฟ่ โดยใช้พื้นที่ขอบอ่างกระเบื้องมาเป็นโต๊ะเก้าอี้ นับว่าเป็นคาเฟ่แปลกใหม่ น่าลองไปสัมผัส และเมนูแนะนำที่ต้องลองสักครั้งก็คือ Furo Agari no gyuunyuu san kyoudai (風呂上がりの牛乳三兄弟) 450 เยน นมสตรอเบอรี่ นมผลไม้ ที่จำกัด 30 ชิ้นต่อวันเท่านั้น และพุดดิ้งทั้ง 7 รสชาติ
จุดแวะที่ 4 : La DOPPIETTA
ร้านเจลาโต้ที่ใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น ทั้งผัก ผลไม้นานาชนิดถูกดัดแปลงกลายเป็นของหวานสุดแสนอร่อย แต่ร้านก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ความเป็นอิตาเลียนกับเมนูเจลาโต้รสมะเขือเทศ และถั่วพิสตาชิโอ ของขึ้นชื่อของอิตาลี ที่นี่ไม่ได้แค่รับประกันความอร่อยสุขภาพดีแค่นั้น แต่ยังรับประกันความแปลกใหม่ของรสชาติที่จะหาที่ไหนไม่ได้เลยอีกด้วย
จุดแวะที่ 5 : MARUYA Terrace
กลิ่นหอมของปลาซาบะที่ลอยออกมาจากร้าน มาพร้อมกับเมนูบ้าน ๆ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ถึงจะบอกว่าเป็นเมนูบ้าน ๆ ก็ไม่น้อยหน้าเรื่องความคิดสร้างสรรค์ อย่างนำปลาซาบะมาปะกบแซนด์วิช เป็นเมนูเก๋ ๆ ชิค ๆ ลูกผสม
การเดินทาง ถึงอาริมะ ออนเซ็น
จากสถานีโตเกียว Shinkansen Hikari 35 นาที / Kodama 50 นาที
จากสถานีนาโกย่า Shinkansen Hikari 1.20ชั่วโมง / Kodama 2 ชั่วโมง
จากสถานีโอซาก้า Shinkansen Hikari 2.15ชั่วโมง / Kodama 3.10 ชั่วโมง
2. ชิบุ ออนเซ็น : Shibu Onsen : 渋温泉
จังหวัดนากาโนะ
ทั้งคน ทั้งออนเซ็น ช่างอบอุ่นจัง แช่น้ำเสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นกัน
เมืองออนเซ็นที่ล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำและภูเขา ทั้งยังเป็นเมืองที่ชวนระลึกความหลังจากบรรยากาศอีกด้วย ในเมืองเองก็เดินง่าย รายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร แถมยังมีร้านสำหรับคอสาเกให้ได้ฟินกันอีกด้วย สามารถเดินวนไปรอบ ๆ เก็บแสตมป์แรลลี่ไปแบบไม่มีเบื่อเลย
จุดแวะที่ 1 : Koishiya Ryokan (小石屋旅館)
ร้านอาหารตะวันตกเพียงแห่งเดียวของชิบุออนเซ็น อยู่ติดกับโรงแรมยอดนิยมอย่างโคอิชิยะเรียวกัง ที่มีทั้งเมนูเนื้อ เบียร์ ไวน์ เมนูขึ้นชื่อคือ เนื้อท้องหมูต้มเบียร์ชิกะโคเอน และที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ยังเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์อีกด้วย
จุดแวะที่ 2 : Cho-kun Izakaya (居酒屋ちょっくん)
ของขึ้นชื่อของที่นี่ไม่ใช่แค่อาหาร แต่ยังมีอีกอย่างคือ การได้พูดคุยกับมาสเตอร์ เรื่องอาหารในสไตล์ของตัวเองอย่างออกรสชาติ มาสเตอร์ยังได้รับการขนานนามว่า ‘สนุกไว้ก่อน’ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดราเมงเต้าหู้สูตรเด็ดมาหลายรุ่นแล้ว ยังไม่หมดแค่นั้นชื่อเสียงของมาสเตอร์ยังทำให้ใครหลาย ๆ คน เดินทางเพื่อมาเจอโดยเฉพาะ ร้านเลยจะเต็มไปด้วยขาประจำ นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ที่ต่างแวะเวียนมาพูดคุยกับมาสเตอร์
จุดแวะที่ 3 : Yakitori Motoya (きとり もとや)
ร้านบรรยากาศสบาย ๆ พร้อมเหล้าสาเกและอาหารแสนอร่อย เมนูขึ้นชื่อของร้านคือ ไก่พื้นเมืองทาทากิ ราคา 756 เยน ยังมีสาเกท้องถิ่นที่แนะนำว่า ต้องมาลิ้มลอง ภายในร้านเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณผู้มาเยี่ยมเยือน และอยากชวนให้อยู่สัมผัสบรรยากาศของออนเซ็นที่นี่สัก 2 วัน ความเงียบสงบ ความลงตัวของส่วนผสมต่าง ๆ ล้วนแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น
การเดินทาง ถึงชิบุ ออนเซ็น
จาก Yudanaka Station ต่อบัสไปชิบุออนเซ็นอีกประมาณ 5 นาที
3. ชิมะ ออนเซ็น : Shima Onsen : 四万温泉
จังหวัดกุนมะ
ภาพจาก https://travel.rakuten.co.jp/onsen/gunma/OK00268.html
ถึงจะมาครั้งแรกก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยมาแล้ว เมืองน้ำพุร้อนย้อนยุคสมัยโชวะ
บ่อแช่มากมายหลายสไตล์เปลี่ยนไปตามสถานที่ บรรยากาศ กับเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ที่ชวนดึงดูด ถ้าคุณเดินตามถนนของเมือง จะสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยุคโชวะที่ส่งผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน
จุดแวะที่ 1 : Kurenai (お食事処 くれない)
ปลาแม่น้ำสดใหม่ ส่งตรงจากธารน้ำใสธรรมชาติบนภูเขา และเมนูขึ้นชื่ออย่างปลาไหล รับประกันความอร่อยจากประวัติร้านที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1934
จุดแวะที่ 2 : Yanagiya (柳屋遊技場)
ร้านเกมที่รวมทุกอย่างเกี่ยวกับลูกกลม ๆ จำพวกบอลเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีตู้ปาจิงโกะในราคาพิเศษให้บริการอีกด้วย 50 ลูก 500 เยน แน่นอนว่าที่นี่คือ สถานที่ได้รับความรักจากชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมากกว่า 50 ปี สำหรับมือใหม่ เรามีคนสอนให้ด้วย อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยือนกัน สาวน้อยฟูจิโกะหญิงสาวชื่อดังเตรียมเค้กและชารอต้อนรับอยู่
จุดแวะที่ 3 : Kashiwaya Café (柏屋カフェ)
ร้านกาแฟชั้นดีที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของกาแฟ และบ้านสไตล์ดั้งเดิมชวนอบอุ่น ที่นั่งเคาน์เตอร์ชั้น 2 มีแสงจากธรรมชาติส่องเข้ามาอ่อน ๆ เป็นที่นิยม เหมาะกับผู้ต้องการเสพธรรมชาติและผ่อนคลายเป็นที่สุด ที่ขาดไม่ได้คือกาแฟที่วาดรูปออนเซ็นลงไป ทั้งยังมีขนมโฮมเมดให้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย
จุดแวะที่ 4 : Yakimanju Shimamura (焼まんじゅう 島村)
มันจูเผาด้วยถ่านสูตรพิเศษจากเมืองชิมะ จังหวัดกุนมะ 1 ไม้ 4 ลูก 300 เยน ซอสรสชาติหวาน มัน พิเศษจนคุณผู้หญิงทั้งหลายจะต้องอดใจไว้ไม่ไหว แถมยังมีเมนูของว่างแสนอร่อยอีกหลายเมนูรออยู่
การเดินทางถึงชิมะ ออนเซ็น
จากสถานีโตเกียว นั่งบัสด่วนคันเอสึ ‘สายชิมะออนเซ็น’ ตรงมาลงได้เลย ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชั่วโมง
4. ชูเซนจิ ออนเซ็น : Shuzenji Onsen : 修善寺温泉
จังหวัดชิซึโอกะ
ภาพจาก https://s.webry.info/sp/tempsera.at.webry.info/201112/article_1.html
แนะนำคู่รัก เดทแบบชุดยูกาตะ
เมืองออนเซ็นแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งยังดูสงบ เป็นส่วนตัวเอามาก ๆ เหมาะกับคู่รักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และยังเหมาะเป็นที่สำหรับฮันนีมูนของคู่ข้าวใหม่ปลามันอีกด้วย
จุดแวะที่ 1 : Machinavi Yururi (街ナビゆるり)
เมื่อมาถึงเมืองออนเซ็นทั้งทีก็ต้องมาเลือกชุดยูกาตะที่น่ารักเหมาะกับบรรยากาศ แบบมีให้เลือกมากกว่า 150 แบบ ทั้งชาย - หญิง ยังมีบริการทำผม หรือถ้าต้องการเครื่องประดับเพิ่ม กระเป๋าถือ ที่นี่ก็มีบริการ ค่าบริการเช่าชุดก็อยู่ที่ 4,000 เยน ไม่แพง แถมฟิน ๆ ถ่ายรูปสวย ๆ กัน ชิลเลย
จุดแวะที่ 2 : Shuzenji GIFT SHOP & DESIGN STUDIO (修善寺 燕舎)
จากความรู้สึกกลายมาเป็นรูปร่างของชาวเมืองที่ตั้งใจประดิษฐ์ สรรค์สร้าง ออกมาเป็นงานแฮนด์เมดนานาชนิด เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนได้เก็บความรู้สึกของเมืองแห่งนี้กลับออกไป
จุดแวะที่ 3 : Chasho Take no Sato Mizuguchi (茶処 竹の里 水ぐち)
หยุดแวะพักชิมบรรยากาศกับขนมญี่ปุ่น ชาเขียว ที่ล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์อันเขียวชอุ่ม โรงน้ำชาที่เปิดโล่งให้รับอากาศบริสุทธิ์ จะหันหน้าไปทางไหนก็เห็นวิวได้ชัดเจน ความงามที่จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลนับเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหา
จุดแวะที่ 4 : Chikurin no Shokei (竹林の小径)
เดินป่าไผ่ฟังเสียงสายลมที่พัดผ่าน เสียงของใบไผ่ที่กระทบกันก่อนอาทิตย์ตกดินตลอดทางทอดยาวกว่า 400 เมตร ด้านข้างยังมีแม่น้ำไหลผ่าน แถมหลังตะวันตกดินมี Light-up ให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
จุดแวะที่ 5 : Sora Togetsusou Kinryu (宙 SORA 渡月荘金龍)
เพลิดเพลินไปกับบ่อกลางแจ้งเปิดโล่งที่หรูหรา สามารถมองเห็นธรรมชาติรอบข้างได้ ค่าบริการอยู่ที่ 40 นาที 2,000 เยน ตกกลางคืนบ่อจะเปิดไฟ เพิ่มบรรยากาศชวนโรแมนติกให้มากขึ้น
การเดินทางถึงชูเซนจิ ออนเซ็น
จากสถานีมิชิม่า Izuhakone Railway ลงสถานีชูเซนจิ ประมาณ 30 นาที นั่งบัสต่อไป Shuzenji Onsen หรือ Nijino Sato หรือแท๊กซี่ ประมาณ 5-10 นาที
จากสถานีโตเกียว JR limited express Odoriko ลงสถานีชูเซนจิ ประมาณ 2 ชั่วโมง นั่งบัสต่อไป Shuzenji Onsen หรือ Nijino Sato หรือแท๊กซี่ ประมาณ 5-10 นาที
แหล่งที่มาเรื่องและภาพ : jalan