Haul Japan ! เปิดถุงช็อปเครื่องสำอางที่เพิ่งไปสอยมา ฉบับเดือนมิถุนายน 2018

ฮัลโหลๆ แบบสดใสให้เข้ากับช่วงซัมเมอร์นะคะทุกคน นี่ๆ วันนี้เราจะพามาเปิดถุงช็อปปิ้งเครื่องสำอางที่เราได้มาจากญี่ปุ่นช่วงเดือนมิถุนายน 2018 ที่ผ่านมาล่ะ ช่วงนี้กำลังหน้าร้อนเลยเพราะฉะนั้นอะไรที่ขายอยู่ตอนนี้จะต้องเอามาใช้ได้ดีในบ้านเราแน่ๆ ไปค่ะ ไปดูกันว่าเราหยิบชิ้นไหนมาบ้าง

 

Japan Hyaluronic Acid Solution / 500 เยน (150 บาท)

มาเริ่มที่อย่างแรกที่ตั้งใจว่าจะต้องไปซื้อมาตุนไว้ให้ได้เลยคือเจ้ากรดไฮยารูลอนขวดม่วงขนาด 10ML ที่เขาว่ากันว่าดีนักดีหนาถึงขนาดพุ่งขึ้นเป็นเครื่องสำอาง No.1 ของ Cosme แต่ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ นะจ๊ะ เพราะตามร้านดองกี้ที่มีชาวต่างชาติเยอะๆ อย่างสาขาอิเคะบุคุโระนี่มีจำกัดมาก เห็นอยู่แค่ 6 หลอดเอง แต่ถ้าใครอยากจะซื้อล่ะก็แนะนำให้มาที่อุเอโนะเลยค่ะ ตามร้านขายยาต่างๆ นี่วางกองกันเต็มเลย

เรื่องประสิทธิภาพของเจ้าตัวนี้บอกตรงๆ ว่ายังไม่ได้เห็นผลอะไรชัดเจนมากนัก อาจจะเป็นเพราะทาครีมอยู่หลายตัว แล้วเราก็ผสมแค่หนึ่งหยดกับเซรั่มที่ต้องการจะเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ก็คิดว่ามันคงจะไปช่วยให้เซรั่มตัวนั้นได้ผลดีมากขึ้นแน่ๆ อ้อ ! แล้วตอนนี้เขาออกขนาดใหม่สุดคุ้มมาด้วยนะ ไปสอยกันได้

 

Mentholatum SUNPLAY Clear Water Tone-up Sunscreen SPF50+ PA++++ / 700 เยน (210 บาท)

ชิ้นต่อมาบอกตรงๆ เลยว่าไม่ได้ตั้งใจซื้อ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นครีมกันแดดสีม่วงตัวดังของ Skin  Aqua แล้วเขามีแพ็กเกจใหม่อะไรแบบนี้ ปรากฏว่าไม่ใช่จ้านี่มันของยี่ห้อ Mentholatum ต่างหาก ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วเลยลองเลยแล้วกัน

บีบออกมาเนื้อครีมกันแดดเป็นสีฟ้าพาสเทลน่ารักมาก ทาลงผิวปุ๊ปต้องรีบเกลี่ยหน่อยเพราะซึมเร็วมาก คุณสมบัติของนางคือ Tone-Up ผิว กันน้ำได้ และที่สำคัญคือทาไประหว่างวันแล้วไม่เพิ่มความมันค่ะ สำหรับเรา เรื่องช่วยปรับผิวให้สว่างขึ้นก็อาจจะมีนิดหน่อย แต่ที่ชอบเลยคือเรื่องปรับผิวให้ดูสม่ำเสมอ ไม่มัน ทาแล้วสบายผิวมากๆ เป็นของที่บังเอิญซื้อแต่ถูกใจ ใช้ได้เลย

 

Skin Aqua Tone Up UV Essence SPF50+PA++++ / 740 เยน (222 บาท)

แน่นอนว่าเราก็ต้องไม่พลาดตัวนี้ แม้จะซื้อผิดเป็นตัวที่คล้ายๆ กันไปแล้ว ยังไงก็ยังอยากจะลองเลยไปตามหามาจนได้จากร้าน Tax Free ในอากิฮาบาระ (ที่อื่นไม่เห็นมีเลย T^T) กันแดดตัวนี้ถ้าตามที่เขียนบนหลอดคือจะต่างจากของเมนโทลาทัมตรงที่มีสีม่วงลาเวนเดอร์ และเป็นเนื้อเอสเซนส์ เบาสบาย ไม่มัน

เจ้าตัวนี้มีคุณสมบัติตรงที่จะช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้น และช่วยควบคุมสีผิวไม่ให้ดรอประหว่างวัน อ้อ ! และอีกอย่างหนึ่งคือนอกจากทาหน้าแล้วนางยังทาตัวได้ด้วยจ้า แต่ถ้าจะให้เทียบระหว่างสกินอควาตัวนี้กับเมนโทลาทั่มด้านบน เราว่ามันใช้แทนกันได้เลยนะ เนื้อเป็นน้ำเหมือนกัน เกลี่ยง่าย แห้งไว และไม่มันเหมือนกัน ซื้อเป็นแพคคู่ตุนไว้ไปเลยก็ดีจ้า

 

Muji Light Toning Water Moisture / 580 เยน (174 บาท)

ชิ้นต่อมาเป็นผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมอลจากมูจิที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมานานแล้วกับโทนเนอร์สีใส ปราศจากสี แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีเจือปนใดๆ ทั้งสิ้น เห็นสีใสๆ ของนางตอนแรกก็คิดในใจว่า ‘มันจะช่วยอะไรได้จริงๆ หรอ’ ด้วยความอยากรู้และเชื่อใจแบรนด์มูจิเราเลยจัดสูตร Moisture (しっとり) ขนาด 700 ML มาหนึ่งขวด

ปกติที่เห็นเขาใช้กันมักจะใช้เป็นโทนเนอร์ เช็ดด้วยสำลี แต่เราใช้วิธีเทแล้วตบๆ ในตอนเช้าก่อนแต่งหน้าเอา ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวมันชุ่มชื้นขึ้นมาเลย คือมันจะเด้งๆ กว่าตอนที่ยังไม่ได้ใช้ แถมไม่ได้ทิ้งความมัน ไม่หนักหน้า เลยคิดว่าเนี่ยแหละเหมาะกับตอนเช้าสุดๆ

 

Muji All in One Essence / 1,790 เยน (537 บาท)

ยังคงอยู่กันที่มูจิ เห็นหลอดเขียวๆ แบบนี้ ใช่แล้วค่ะว่าส่วนผสมจะต้องเกี่ยวกับธรรมชาติแน่ๆ ตัวนี้เป็นหนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของมูจิที่เขาบอกว่าได้รับเสียงตอบรับดีมาก มีทั้งโทนเนอร์ โลชั่น ครีม แต่ตัวที่เราเลือกมาเป็นเอสเซนส์เนื้อเจลแบบไม่ต้องใช้ตัวอื่น แค่ตัวนี้ตัวเดียวก็ครบ จบเลย เนื้อที่เป็นแบบเจล ทาแล้วเบาๆ เย็นๆ สดชื่นดีค่ะ

พอลองใช้แล้วพบว่าหน้าชุ่มชื้นขึ้น ดูเด้งๆ เราชอบใช้ในตอนเช้าที่ขี้เกียจลงครีมหลายตัว หรือไม่ก็พกไว้ตอนไปเดินทางจะได้ไม่หนักกระเป๋า อ้อ ! ยิ่งถ้าใช้คู่กับ Toning Water ด้านบนด้วยนะ ผิวจะดูสุขภาพดีมากๆ แนะนำให้ลองค่ะ

 

Hada Labo Premium Hyaluronic Lotion / ประมาณ 900 เยน (270 บาท)

ถ้าคุณเคยใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วติดใจในประสิทธิภาพของมันแล้วล่ะก็ มาญี่ปุ่นก็ต้องมาตามหานางให้เจอให้ได้ เพราะราคาถูกกว่าที่เมืองไทยเกือบครึ่ง ! ขวดนี้ขวดเดียวราคาที่ไทยขายอยู่ที่ 500 กว่าบาท แต่ที่ญี่ปุ่น (เราไปเจอที่ร้าน Tax Free อากิฮาบาระ) ราคาเพียงแค่ 200 กว่าบาทเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าคุณกำเงิน 500 บาทมา คุณจะสามารถซื้อเจ้าขวดนี้ได้เกือบสองขวด !

เรื่องคุณสมบัติไม่ต้องพูดอะไรมาก บอกเลยว่าดี และควรค่าที่จะมีติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้ ปกติแล้วเราจะต้องตื่นเช้า นอนก็อาจจะไม่ค่อยพอในบางที แต่หลังจากได้ใช้เจ้าตัวนี้ รู้สึกว่าหน้าเราก็ยังดูเด้งได้อยู่นะ มีบ้างที่ใต้ตาจะคล้ำ แต่โดยรวมแล้วดูไม่โทรมเลย เข้าใจแล้วว่าทำไมสาวๆ ถึงกรี๊ดกันหนักมาก

 

Sekkisei Brightening Emultion / 980 เยน (294 บาท)

ด้วยความที่อยากจะลองใช้แบรนด์นี้มานานมากแต่ไม่เคยได้ลองสักที วันแรกที่ไปถึงโตเกียวแล้วเดินเข้าเซเว่น เดินผ่านโซนเครื่องสำอางแล้วเหลือบไปเห็นเจ้าตัวนี้พอดี เลยจัดมาหนึ่งขวด เป็นขวดเล็กขนาดพกพา ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ลองแล้ว

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของเซคคิเซที่ดังๆ เลยจะเป็นตัวโลชั่น (ขวดสีฟ้าเหมือนกัน) แต่อันนี้จะเป็นอีมัลชั่น เนื้อเป็นน้ำนม และค่อนข้างข้นหน่อย แต่เชื่อไหม พอทาลงบนผิวแล้วซึมไวมาก แอบรู้สึกเย็นๆ นิดๆ ด้วย หลังจากใช้ไปสองสามวันรู้สึกหน้าเนียนขึ้น (มันลื่นๆ จับแล้วชอบมาก) หน้าก็ดูไบรท์ขึ้นนิดนึงนะ อาจจะเป็นเพราะเราผิวเข้ม เลยไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น แต่แอบเตือนสำหรับคนที่แพ้แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม เจ้าตัวนี้มีเต็มๆ เลยล่ะ พิสูจน์ได้จากกลิ่นที่ค่อนข้างแรง แต่ถ้าใครไม่มีปัญหาอะไรแนะนำให้ลองใช้ได้เลย

 

Melano CC / 1,180 เยน (354 บาท)

จำได้ว่าตอนที่ยังอยู่ญี่ปุ่นแล้วเห็นตัวนี้ครั้งแรกไปยืนงงอยู่นานมากว่าตกลงมันเป็น CC ครีม หรือเป็นวิตามินซี สรุปก็คือวิตามินซีนั่นแหละ แต่ที่นางเขียนแบบนี้ก็เพราะว่ามีส่วนผสมของวิตามินซีที่เข้มข้นมาก และแน่นอนคือใช้ดีมากด้วย จะบอกว่าเราใช้หลอดแรกตั้งแต่อยู่ที่ญี่ปุ่นจนกลับมาและมาญี่ปุ่นอีกทีนางก็เพิ่งหมด ถือว่าได้ฤกษ์ซื้อใหม่พอดี

เจ้าตัวนี้เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามกันมาบ้างแล้ว เราจะขอยืนยันอีกทีแล้วกันว่ามันใช้ดีจริงๆ คือเมื่อก่อนเรามีรอยดำจากสิวเยอะมาก พอหายแล้วก็ทิ้งรอยตรงแก้มไว้ ไม่หายสักที แต่พอลองใช้ตัวนี้คู่กับครีมลดจุดด่างดำตัวอื่นก็พบว่ามันค่อยๆ จางไป อาจจะไม่ได้เห็นผลเร็วขนาดนั้น แต่ประมาณ 3 เดือนได้ หน้าเราก็กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้ชอบมาก อีกเหตุผลนึงที่ชอบเลยคือ ถึงแม้จะมีกรดวิตามินซี แต่ใช้แล้วไม่รู้สึกแสบหน้าเลย เรียกได้ว่านางช่วยผลัดเซลผิวเราอย่างอ่อนโยนแต่ได้ประสิทธิภาพจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มาซื้อเป็นหลอดที่สองหรอก

 

Innisfree No-sebum Mineral Powder / 810 เยน (243 บาท)

หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ มันเป็นแบรนด์เกาหลีไม่ใช่เหรอ ถูกต้องค่ะ แต่ตอนนั้นเราไปเดินถนนทาเคชิตะ ที่ฮาราจูกุแล้วเดินผ่านช็อปของอินนิสฟรีที่มาเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นพอดีเลยแวะเข้าไปดูสักหน่อย และได้พบว่าเจ้าตัวนี้กำลังมีแพคเกจพิเศษ สีสันน่ารัก มีลายอัญมณีตามเดือนเกิดให้เลือกได้ฟรี แต่น่าเสียดายค่ะที่เราเกิดเดือนมิถุนายน และไปช่วงมิถุนายนพอดีนางเลยหมด เราเลยเลือกแบบที่เราชอบมาแทนซึ่งเป็นของเดือนมกราคม

แป้งตัวนี้เห็นแป้งฝุ่นโปร่งแสง เนื้อละเอียด ทาแล้วเนียน จับหน้าแล้วจะรู้สึกลื่นๆ มีคุณสมบัติคุมมัน แต่เราแอบรู้สึกว่าคุมมันได้ดีจริงในตอนแรก แต่นางยังไม่ค่อยติดทนเท่าไหร่ พอเที่ยงปุ๊ปหน้าก็กลับมามันอีกอยู่ดี (เอ๊ะ หรือมันเป็นปัญหาของหน้าเรากันนะ 5555) แต่โดยรวมแล้วชอบนะ ทั้งเนื้อแป้ง กลิ่น และตลับที่คิ้วท์เวอร์ขนาดนี้

 

Canmake Shading Powder / 680 เยน & Canmake Hilighter / 550 เยน (165 บาท)

ต่อมาเป็นเฉดดิ้ง และไฮไลท์จากแคนเมค ที่นำมาเป็นแพคคู่กันแบบนี้ เพราะเราชอบใช้คู่กันค่ะ ไม่มีอะไรมาก 55555 สองตัวนี้เคยเห็นบิวตี้บล็อกเกอร์ใช้กัน แล้วราคาก็ไม่ได้แพงเลย เลยไปสอยมาลองเองเสียหน่อย

บอกเลยว่าต้องยอมใจแพคเกจของนางที่น่ารักหวานแหวว และราคาที่ญี่ปุ่นก็ถูกมาก พอได้มาใช้จริงก็รู้สึกชอบที่มันใช้ง่าย ตลับพกพาง่าย สีเป็นธรรมชาติ แต่ดูเหมือนว่าเราจะซื้อสีเฉดดิ้งมาอ่อนไป ถ้าเอามาใช้ตรงกรอบหน้าคือแทบจะไม่เห็นเลย แต่ถ้ามาใช้ตรงจมูกคือพุ่งได้อยู่ ส่วนไฮไลท์คือเป็นสีขาวแบบที่ไม่มากไปไม่น้อยไป หน้าวาวแบบกำลังน่ารักรุบ กริบ แต่สองตัวนี้แอบไม่ค่อยติดทนเท่าไหร่ อาจจะต้องพกไปเติมระหว่างวัน

 

Kiss Me Heroine Make Long & Curl Super Water Proof Mascara / 1,000 เยน (300 บาท)

ชิ้นนี้คือชอบตรงที่มีการเขียนคุณสมบัติว่า 天まで届けマスカラคือเป็นมาสคาร่าที่สามารถทำให้ขนตาของคุณยาวไปถึงสวรรค์ได้ ! โอ้โห ขนาดนั้นเลย แถมยังเคยเห็นบิวตี้บล็อกเกอร์ชอบใช้กันด้วย การันตีด้วยรางวัล Cosme อีกต่างหาก คราวนี้เลยลองจัดมาซะหน่อย

จริงๆ เขามีสองสูตรให้เลือก คือสูตรเพิ่มวอลลุ่ม แต่ที่เราเลือกเป็นแบบยาวงอน พอลองใช้แล้วก็พบว่าเออมันยาวจริงอย่างเห็นได้ชัดเลยจ้า แถมกันน้ำ ระหว่างวันไม่มีไหลเยิ้ม คิดถูกแล้วที่เชื่อคำโฆษณาของนาง

 

Fasio Powerful Stay Eyebrow Pencil / 1,400 เยน (420 บาท)

มาถึงชิ้นสุดท้ายสักที อันนี้ก็ซื้อตามบิวตี้บล็อกเกอร์อีกเช่นเคย เป็นดินสอเขียนคิ้วที่มีสองหัวในแท่งเดียว คือมีส่วนที่เอาไว้สำหรับเขียนคิ้ว ส่วนอีกฝั่งจะเป็นแปรงเอาไว้ปัดขนคิ้วให้มีความเป็นธรรมชาติ แถมยังมีคุณสมบัติทัชพรูฟ และกันน้ำได้ ไม่หลุดไม่ไหลระหว่างวัน

สีที่เราซื้อมาเป็นสีน้ำตาล ใช้แล้วรู้สึกชอบมากคือใช้ง่าย สีโอเค แถมมีแปรงในตัว ระหว่างวันก็ติดทนดีมาก บางทีเราชอบเผลอเอามือไปโดนคิ้วก็ไม่หลุดติดมือมาด้วย หรือช่วงหน้ามันนางก็จะอยู่เหมือนเดิมเหมือนตอนเช้าเลย ประทับใจสุดๆ

 

เอาล่ะ ถุงช็อปเครื่องสำอางของเราคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ นี่ยังไม่นับรวมขนม เสื้อผ้า หรือเครื่องประดับอื่นๆ เลยนะ แต่อยากจะบอกว่าไปรอบนี้ช็อปกระจายจริงๆ เพราะฤดูก็ตรงกับซัมเมอร์ ของหลายๆ อย่างเลยกลับมาใช้ที่ไทยได้ เรียกได้ว่ามีหมื่นหมดหมื่นอ่ะค่ะ !

 

เรื่อง : ประสบการณ์ตัวเอง

FOLLOW US ON
FACEBOOK